โปงลาง คือ ระนาดพื้นเมืองอีสาน เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเคาะทำ ทำนองและจังหวะไปพร้อมกัน ลูกระนาดทำจากไม้ท่อนขนาดลำแขน เป็นตัด กลึง และถากตกแต่งเทียบเสียงดนตรี โด , เร , มี , โซ , ลาเรียงเสียงลำดับจากต่ำไปสูงได้ 12 ลูก 13 ลูก หรือ 14 ลูก แล้วนำมาร้อยผืนระนาดด้วยเชือกเส้นโตขนาดเท่ากับเชือกผูกวัว เวลาเล่นใช้แขวนเป็นแนวเฉียงลงมาทำมุมประมาณ 60 องศากับพื้น ให้ด้านลูกใหญ่เสียงทุ้มอยู่ตอนบนและด้านลูกเล็กสั้นและเสียงแหลมอยู่ตอนล่าง การเคาะโปงลางมักใช้ผู้เล่น 2 คน คนเล่นทำนองเพลงจะเข้าเคาะทางด้านหน้าของผืนโปงลาง เรียกว่าเป็น “หมอเคาะ” อีกคนหนึ่งเข้าเคาะข้างขวามือของหมอเคาะ มีหน้าที่เคาะเสียงประสานและทำจังหวะเรียกเป็น “หมอเสิร์ฟ”ไม้ที่นำมาทำลูกโปงลางนั้นนิยมใช้ไม้มะหาด(ไม้หมากหาด) ซึ่งมีขึ้นอยู่ตามป่าเบญจพรรณทั่วไปไม้ชนิดนี้มีเปลือกเหนียวแข็งไม่บิด แตกเป็นเสี้ยน เวลาแห้งแล้วเคาะมีเสียงดังดีมาก ยิ่งเป็นไม้มะหาดจากต้นที่ยืนตายยิ่งเสียงดีเป็นพิเศษ ช่างทำโปงลางบางคนจึงตัดเซาะเผารากต้นมะหาด แล้วปล่อยให้ยืนต้นตายก่อนโค่นมาทำลูกโปงลาง
ไม้ชนิดอื่นๆนำมาทำลูกโปงลางได้ คือ ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้ชิงชัน ไม้มะค่าแต้ เป็นต้น
ความเป็นมาของโปงลาง ชื่อโปงลางนี้เกิดขึ้นผ่านหลัง มีตำนานเล่าว่าเกิดจากชื่อของ ลายแคน(เพลงแคน)ชื่อหนึ่งซึ่งหมอแคนในขบวนต้อนวัวไปขายเป็นผู้คิดทำนองขึ้น เรื่องมีอยู่ว่า สมัยก่อนเมื่อหมดฤดูเก็บเกี่ยวข้าวในนาแล้ว ชาวอีสานผู้กล้าหาญมักจะรวมกันเข้าเป็นคณะกว้านซื้อวัว ควาย ม้า ในราคาท้องถิ่นซึ่งราคาถูกมาก เมื่อได้จำนวนมากพอแล้วก็จะจัดขบวนคาราวานต้อนฝูงสัตว์เหล่านั้นล่องลงไปขายเอากำไรถึง 3-4 เท่า ยังภาคกลาง แถวสระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ในคณะหนึ่งๆของคาราวานต้อนสัตว์จะมีหัวหน้าคณะซึ่งได้รับสมญาว่า “นายฮ้อย” ( เทียบได้ตำแหน่งนายร้อยในกองทหารนั่นเอง ) เป็นผู้ควบคุมขบวน และในขบวนนั้นจะใช้วัวต่างตัวพิเศษ 2 ตัวผูกคอด้วย “โปงลาง” ซึ่งเป็นกระดึงโลหะ ลูกค่อนข้างโตให้ตัวหนึ่งนำหน้าขบวน อีกตัวหนึ่งตามสุดท้ายของขบวน เพื่อเป็นตัวให้สัญญาณว่าขบวนหน้าถึงไหนแล้วและขบวนหลังหักออกไปเท่าไหร่ จากสัญญาณเสียงกระดึงหรือโปงลางที่ผูกคอของวัวทั้งสองตัวพิเศษนี้ จะทำให้ขบวนทั้งขบวนเกาะกลุ่มกันได้ บางครั้งเมื่อขบวนผ่านมาทั้งแคบหว่างช่องเขา เสียงโปงลางนี้ยังบอกให้ขบวนอื่นที่อาจสวนทางมาหรืออยู่ข้างหน้าทราบ แล้วหาทางหลบหลีกกันได้ก่อนที่จะพาฝูงสัตว์ปะปนกันซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาสัตว์ชนกันหรือแยกฝูงกันเกิดตามมาขณะที่วัวต่างแขวนโปงลางเดินเลาะไปตามเชิงเขา โปงลางก็ย่อมจะกวัดแกว่งไปตามลีลาของวัวเกิดเสียงดัง “โปงหล่าง-โปงหล่าง” วิเวกวังเวงไปทั่วหุบเขา หมอแคนที่มาในขบวนคาราวานเกิดความบันดาลใจคิดประดิษฐ์เพลงแคน ( ลายแคน ) เลียนเสียงโปงลางนั้น เมื่อเป่าให้เพื่อนฟังเวลาตั้งค่ายพักแรมก็ได้ความนิยมชมชอบเป็นอันมาก เพราะเป็นลายแคนอันไพเราะ ยิ่งต่างคนต่างไปไกลบ้านความคิดถึงบ้านยิ่งทำให้ฟังแคนไพเราะวิเศษยิ่งขึ้นไปอีก